ชีวิตปัจจุบันถูกหล่อเลี้ยงด้วยวัตถุนิยม
ตลาดเต็มไปด้วยหลากหลายผลิตภัณฑ์ทันสมัยและเปี่ยมล้นดีไซน์
ในอดีต เราเคยคิดว่า ยิ่งมีทางเลือกมาก ชีวิตยิ่งดีงาม
ความเป็นจริงตรงข้ามกัน
การทดลองทางจิตวิทยาที่ให้นักศึกษาถ่ายรูปสองรูปให้ดีที่สุด
และเลือกอีกรูปส่งให้กับมหาวิทยาลัยโดยไม่มีโอกาสเห็นมันอีก
โดยบอกนักศึกษากลุ่มหนึ่งว่าภายในหนึ่งเดือนนักศึกษามีโอกาสเลือกสลับรูปได้
เปรียบเทียบกับกลุ่มที่สองที่บอกว่าให้ส่งรูปแล้วส่งเลยห้ามเปลี่ยน
ความเป็นจริงตรงข้ามกัน
การทดลองทางจิตวิทยาที่ให้นักศึกษาถ่ายรูปสองรูปให้ดีที่สุด
และเลือกอีกรูปส่งให้กับมหาวิทยาลัยโดยไม่มีโอกาสเห็นมันอีก
โดยบอกนักศึกษากลุ่มหนึ่งว่าภายในหนึ่งเดือนนักศึกษามีโอกาสเลือกสลับรูปได้
เปรียบเทียบกับกลุ่มที่สองที่บอกว่าให้ส่งรูปแล้วส่งเลยห้ามเปลี่ยน
ผลทดลอง เราพบว่ากลุ่มแรกมีความทุกข์ใจกว่ากลุ่มที่สองอยู่นาน
เพราะเกิดความลังเล เสียดาย อยากเปลี่ยนใจ
ส่งรูปไปแล้วก็ยังทุกข์อยู่ว่าเลือกผิดพลาดหรือเปล่า
ขณะที่กลุ่มสองแสนจะสุขใจ
เพราะไม่ต้องเสียดายทางเลือกอะไรทั้งสิ้น
เพราะเกิดความลังเล เสียดาย อยากเปลี่ยนใจ
ส่งรูปไปแล้วก็ยังทุกข์อยู่ว่าเลือกผิดพลาดหรือเปล่า
ขณะที่กลุ่มสองแสนจะสุขใจ
เพราะไม่ต้องเสียดายทางเลือกอะไรทั้งสิ้น
เช่นเดียวกัน เวลาซื้อรถแล้วมีสีมีรุ่น ออปชั่นให้เลือกมาก
เราจะครุ่นคิดถึงทางเลือกอยู่นาน
พอจิ้มเลือกไปแล้ว กระวนกระวายไม่เป็นสุข
คิดกลับไปมาว่า ตัวเลือกที่ทิ้งไปดูดีกว่าหรือไม่
การตลาดพยายามเอาใจลูกค้า
ให้ทางเลือกมากมายจนเกินไป
แค่โปรโมชั่นโทรศัพท์วุ่นวายมากมาย
โทรมาก โทรน้อย โทรยาว โทรสั้น เน็ตมาก โซเชี่ยลเยอะ จ่ายก่อน จ่ายหลัง
ช่องทีวีเดี๋ยวนี้ยังมีร้อยช่องพันช่อง
เอาจริงแล้ว สารพัดออปชั่นทำให้เราทุกข์มากขึ้น
ผู้บริโภคยุคนี้หัวสมัยใหม่ยังไง ก็ยังชอบดูหมอ ทำนายทายทัก
ผลักภาระการตัดสินใจออกไป ชีวิตจะได้เป็นสุข
ซื้อรถสีนี้เพราะเสริมบารมี จบเลย ไม่ต้องคิดต่อ
การตลาดอนาคต เราจะเหมือนหมอดูฟันธง
มีทางเลือกแต่ไม่ให้ลูกค้าเลือก
เวทย์มนต์การตลาดจะฟันธงให้เลย
ว่าอะไรทีเ่หมาะสมกับลุกค้าที่สุด
คุณคงเคยดูในหนังแล้ว
แค่เดินไปในร้านเสื้อผ้า จะมีโปรแกรมคำนวณสแกนตัวอ่านใจ
ว่าเราอยากได้อะไรบุคลิกแบบไหน
และบอกเลยจะเดินไปหยิบได้จากที่ไหน ไซส์อะไร
ชีวิตดีงามที่ไสยศาสตร์การตลาดจะตัดสินใจให้